OKay Training | บทความ ใครเอาเนยแข็งของฉันไป

Who moved my cheese?

ใครเอาเนยแข็งของฉันไป

ในชีวิต สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือการเปลี่ยนแปลง เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ ยิ่งเราหลบหนีหรือต่อต้าน ก็ยิ่งทำให้ชีวิตลำบาก ชีวิตเราอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง เราไม่อาจหลบซ่อนจากมัน มันจะท้าทายเราและบังคับให้เราทบทวนการใช้ชีวิตของเราใหม่

Who moved my cheese?  ใครเอาเนยแข็งของฉันไป เป็นหนังสือที่เคยเห็นในร้านนานมาก แต่ไม่เคยคิดจะหยิบมาอ่านเลย เพราะไม่ได้ชอบกินเนยแข็ง ตอนนั้นไม่คิดว่ามันสำคัญอะไร อาจเป็นเพราะเนยแข็งมันไกลตัวเกินไป ถ้าตั้งชื่อหนังสือ ใครขโมยข้าวเหนียวไก่ย่างของฉันไป ก็คงได้ซื้ออ่านนานแล้ว

แต่แล้วบางอย่างก็เปลี่ยนไป ตอนนี้เราชอบกินเนยแข็ง เปลี่ยนไปใช้คำว่าชีสน่าจะดีกว่า ตอนนี้ชอบกินชีสมากโดยเฉพาะฟรุตชีสกับแคนดี้ชีสรสอัลมอนด์อ่ะ อร่อยมาก ตอนนี้ชีสเป็นเรื่องใกล้ตัวเรา ดังนั้นมันจึงเป็นเวลาดีที่จะหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน

Life moves on and so should we —Spencer Johnson

หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องของคนตัวจิ๋ว 2 คน กับหนู 2 ตัว ที่อาศัยอยู่ในเขาวงกต ผู้เขียนเปรียบเทียบลักษณะนิสัยทั้ง 4 แบบ ในเวลาที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง แบบที่ 1 คือ Sniff หนูช่างสังเกต รู้ทันการเปลี่ยนแปลง แบบที่ 2 คือ Scurry หนูที่วิ่งไปข้างหน้าไม่คิดอะไรมาก แบบที่ 3 และ 4 คือคนที่มีโครงสร้างสมองซับซ้อนและคิดมาก ต่างกันตรงที่ Hem ยึดติดกับความสะดวกสบายและปล่อยให้ความกลัวเข้าครอบงำ ส่วน Haw รู้จักเปลี่ยนแปลงเพื่อเอาตัวรอด

คนตัวจิ๋วและหนูต่างก็ชอบกินชีส แต่เมื่อชีสหายไป หนูทั้ง 2 ตัวนั้นรีบวิ่งเข้าไปหาชีสใหม่ในเขาวงกต แต่คนตัวจิ๋วทั้งสองคนกลับมัวแต่หาคำอธิบายว่าทำไมชีสหายไป รู้สึกเหมือนถูกกลั่นแกล้ง ไม่ยุติธรรมและเอาแต่บ่น ทั้งสองคนต่างเสียเวลา เสียพลังงานไปกับการคาดหวังว่าชีสเดิมมันจะกลับมา

Haw คนตัวจิ๋วที่เข้าใจและตระหนักว่าชีสอันเดิมมันจะไม่กลับมาอีกแล้ว ดังนั้นเค้าจึงมุ่งหน้าไปยังเขาวงกตเพื่อหาชีสอันใหม่ เค้าเขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้ระหว่างทางไว้บนกำแพง หวังว่า Hem เพื่อตัวจิ๋วอีกคนจะตามมา ท้ายที่สุดเค้าได้พบชีสอันใหม่และได้พบกับหนูทั้งสองตัวที่ไปถึงที่นั่นก่อนเค้า

ชีสเปรียบได้กับสิ่งที่เราต้องการในชีวิต อาจเป็นงานที่ชอบ เงินเดือนเยอะ ความรัก หรือสุขภาพ สิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะบอกกับผู้อ่านคือ สิ่งต่างๆ ล้วนเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นเราจะต้องสังเกตและปรับตัว ยิ่งเราปรับตัวได้เร็ว ก็จะยิ่งดี ส่วนเขาวงกตนั้นก็เหมือนกับสถานที่ทำงาน บ้าน สภาพแวดล้อมในสังคมที่เราอาศัยอยู่

หนูมีโครงสร้างสมองแบบง่ายๆ ใช้สัญชาตญาณใช้อารมณ์ทำอะไรตรงไปตรงมา ในขณะที่คนมีโครงสร้างสมองที่ซับซ้อนมากกว่า และมีความเชื่อว่าชีสเป็นมากกว่าอาหารเพื่อความอยู่รอด การค้นหาชีสมีความหมายต่อเค้ามาก คนตัวจิ๋วทั้งคู่ค้นหาชีสในเขาวงกตจนกระทั่งวันหนึ่ง ก็ได้พบกับแหล่งเก็บชีสที่ใหญ่และมีชีสที่ชื่นชอบ

หลังจากพบแหล่งชีสแล้ว คนตัวจิ๋วทั้งสองคนถึงกับย้ายบ้านเข้ามาใกล้ๆ เพื่อความสะดวก ทิ้งรองเท้าที่ใช้วิ่งในเขาวงกต เพราะมั่นใจว่าชีสนั้นจะไม่มีวันหมดและชีวิตนี้ไม่ต้องวิ่งค้นหาชีสอีก แต่แล้ววันหนึ่งทั้งคู่กลับพบว่าชีสนั้นหายไป มีใครบางคนย้ายชีสออกไปจนหมด

ส่วนหนูทั้งสองตัวที่มีสมองเรียบง่ายไม่คิดมาก ถึงแม้จะพบแหล่งชีสขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่เคยทิ้งรองเท้าวิ่ง เตรียมพร้อมที่จะวิ่งอยู่เสมอ นอกจากนั้นยังสังเกตและรู้ว่าแต่ละวันชีสลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ และเมื่อชีสหายไปจนหมดหนูที่รู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงมุ่งไปข้างหน้าเพื่อหาชีสอันใหม่ทันที

หนูไม่ได้คิดวิเคราะห์สถานการณ์มากเกินไป รู้แค่ว่าชีสหมดและต้องวิ่งเข้าไปยังเขาวงกตเพื่อหาชีสใหม่ หนูเตรียมตัวพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แล้ว แต่คนตัวจิ๋วทั้งสองที่สร้างบ้าน สร้างชีวิตรอบๆ แหล่งชีส ต่างรู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของใครบางคนและชีวิตช่างไม่ยุติธรรม

การตอบสนองต่อเหตุการณ์ ทัศนคติที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เมื่อต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต โดยเฉพาะถ้ามันทำให้ชีวิตเราแย่ลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน ความรัก ครอบครัว ตอนแรกเรามักจะไม่รู้ว่าต้องทำยังไง บางครั้งอาจคิดว่าหมดสิ้นหนทาง หมดโอกาสแก้ตัว มองไม่เห็นอนาคต และมีแต่ความหวาดกลัว

เราหลายคนอาจทำตัวเหมือน Hem ที่คาดหวังว่าจะได้ทำงานกับองค์กรที่มั่นคง และทำงานเพียงเพื่อให้เสร็จไปวันๆ โดยที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ เมื่อต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงก็มักจะเครียดและวิตกกังวล คิดในแง่ร้าย ไม่เห็นหนทางที่จะก้าวไปข้างหน้า เราอาจไม่ได้เตรียมตัวเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพราะไม่เข้าใจ ไม่รู้ตัวว่าการเปลี่ยนแปลงมันจะเกิดขึ้น

หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือคาดหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในวันข้างหน้า มันจะช่วยให้เราเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ปรับตัวก่อนที่จะโดนบังคับให้เปลี่ยน

สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลง แต่เป็นทัศนคติที่เปลี่ยนไปต่างหาก ที่จะนำทางเราไปยังเป้าหมายที่ต้องการ

ยอมรับการเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในชีวิตเราแต่ละคน สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นแทนที่จะต่อต้าน เราต้องรู้จักเข้าใจและยอมรับการเปลี่ยนแปลง ทำความเข้าใจว่าอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปและทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น

ถึงแม้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปบางครั้งอาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพียงแค่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง เติบโตและก้าวไปข้างหน้ากับมัน

ขอแค่มีชีส ชีวิตก็มีความสุข

เตรียมตัวรับมือการเปลี่ยนแปลง

ชีสเดิมๆ มันเริ่มเก่า มันลดจำนวนน้อยลง มันย้ายที่ไปเรื่อยๆ เราจึงต้องเตรียมตัวอยู่เสมอ เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราคาดหวังว่ามันจะเปลี่ยน เราก็จะไม่แปลกใจในตอนที่มันเกิดขึ้น ทำให้เรามีทางออก มีวิธีการรับมือกับมัน

ทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน จับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นใกล้ตัวเราและเปรียบเทียบกับหลายๆ ที่ สังเกตดูแนวโน้ม หาเหตุผลหาข้อสรุปที่ได้จากการสังเกต ออกไปพบปะกับผู้คนในแวดวงเดียวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองที่แตกต่างกัน

เตรียมตัวรับมือก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น เพื่อลดผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นหากมีการเปลี่ยนแปลง วางแผนสิ่งที่ต้องทำในปีนี้หรือในปีหน้า

ดมชีสบ่อยๆ จะได้รู้ว่าชีสมันเริ่มเก่า

ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง

ก้าวไปข้างหน้ากับชีส ปรับตัวและเปลี่ยนความคิด ถ้าเราเปลี่ยนทิศทางใหม่ ก็จะทำให้เราพบกับชีสใหม่ๆ ยิ่งเราทิ้งชีสอันเก่าได้เร็ว ยิ่งปรับตัวได้เร็ว เราก็จะมีโอกาสได้พบกับชีสใหม่ได้เร็วขึ้น

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิตได้ทุกเมื่อ ผลจากภาวะ ผลจากการเลือก จากโอกาส ในแต่ละสถานการณ์ที่เราต้องตัดสินใจ ที่เราต้องเลือก เราเลือกที่จะเปลี่ยนหรือยังทำแบบเดิม

มันจะดีกว่าหากเราเตรียมตัวรับมือการเปลี่ยนแปลง เพราะมันจะทำให้เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี ลดการตอบสนองแบบทันทีทันใด ทำให้เรามีเวลาคิดพิจารณาทางเลือก

แต่ถ้าเราไม่ได้เตรียมตัวรับมือการเปลี่ยนแปลง หรือเราต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ชีวิตเราก็จะกลายเป็นการตอบสนอง แทนที่จะเป็นตัวการเป็นคนคุมเกมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องคอยตอบโต้ เล่นไปตามเกมของคนอื่น

เติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง

ในชีวิตเราไม่อาจหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในภาวะที่คาดไม่ถึง เหตุการณ์ที่มันท้าทายเราและบังคับให้เราต้องก้าวเดินออกจากพื้นที่คุ้นเคยที่ปลอดภัย ทำให้เราเสี่ยงมากขึ้น ถ้าเราไม่สนใจ การหลบซ่อนตัวจากการเปลี่ยนแปลงหรือความท้าทาย มันก็เหมือนกับเราปฎิเสธโอกาสที่จะได้เรียนรู้และเติบโตมากขึ้น

เราจะเติบโตและเข้มแข็งมากขึ้นเมื่อเรายอมรับการเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ที่จะจัดการกับความท้าทายในเชิงบวก

เราไม่มีทางที่จะหนีจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต กุญแจสำคัญคือจัดการกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต เปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่ให้อยู่รอด แต่ต้องทำให้เราประสบความสำเร็จก้าวไปข้างหน้าด้วย

ความก้าวหน้าจะไม่เกิดขึ้นหากไม่เปลี่ยนแปลง และคนที่ไม่สามารถเปลี่ยนวิธิคิดเปลี่ยนทัศนคติ ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

เราต่างก็อยากใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย และจิตใต้สำนึกของเราก็มักจะให้ทำสิ่งที่เรารู้ดีอยู่แล้ว การยอมรับการเปลี่ยนแปลงเป็นการก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปยังเส้นทางที่เราไม่รู้และจิตใต้สำนึกก็จะไม่ชอบ ทำให้เราต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ทำให้ล้าหลัง

ความกลัวและความเชื่อที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ มันจะเข้าครอบงำจิตใจเมื่อเราต้องพบกับภาวะการเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงมันทำให้รู้สึกไม่สบายใจและดูน่ากลัว แต่ทางเลือกใหม่ๆ จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ไปในทางที่ดีขึ้นได้

เราไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ แต่เราสามารถควบคุมและเลือกวิธีการตอบสนองต่อเหตุการณ์นั้นได้

ชีวิตคือการเลือก ตัวเลือกบางอย่างทำให้เราภูมิใจ บางอย่างก็ทำให้เราเสียใจในภายหลัง บางอย่างหลอกหลอนเราไปอีกนาน ตัวเราคือสิ่งที่เราเลือกที่จะเป็น

ยิ่งเราเลือกและสนใจแต่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มันก็ยิ่งทำให้เราเข้มแข็งและสามารถรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงได้ดี

เราต่างก็ต้องการใช้ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ มีความสุขและมีชีวิตที่ยืนยาว การจะได้สิ่งเหล่านี้มา เราต้องทำงานแบบเชิงรุก และจัดการเปลี่ยนแปลงชีวิต

ความเชื่อเก่าๆ ไม่มีทางนำเราไปพบกับชีสใหม่ๆ ได้

ที่มา : nicetofit.com